สรุปทีเด็ด – ม้ามืดจากทวีปแอฟริกา โมร็อคโก เป็นทีมที่ยังไม่แพ้ใครเลยผ่าน สเปนหนึ่งในทีมตัวเต็ง เข้ามาแบบพลิกล็อก ผ่านทีมแกร่งมาแล้ว อย่าง โครเอเชีย, เบลเยียม รวมถึง สเปน โดยไม่แพ้เลยทำให้ตอนนี้ ทีมโมร็อคโก กำลังมั่นใจเต็มเปี่ยม จะลงเล่นเกมตัดสินพบกับ ทีมชาติโปรตุเกส ที่เพิ่งโชว์ฟอร์มสุดโหดไล่ถลุง สวิสเซอร์แลนด์ไป 6-1 ถ้าเปรียบเทียบจากขุมกำลังนักเตะ บ้านผลบอลสด 888 สด แน่นอนว่าทีมชาติโปรตุเกสเหนือกว่า แต่ถ้าเรื่องสมาธิและสภาพจิตใจ ทีมชาติโมร็อกโกเหมือนจะมีมากกว่า เพราะตอนนี้มาไกลเกินความคาดหวังแล้ว ทำให้ความกดดันที่มีน่าจะน้อยกว่า หากพวกเขาเอาชนะโปรตุเกสได้ โมร็อกโกจะกลายเป็นชาติแอฟริกาชาติแรกที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก โปรตุเกสและโมร็อกโกเคยพบกันมาแล้ว 2 ครั้ง พลัดกันชนะทีมล่ะ 1 ครั้ง แมทต์นี้น่าจะเป็นแมทต์ ที่สร้างความหนักใจให้กับ ทีมโปรตุเกส อย่างมาก และน่าจะเล่นกันไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ
Morocco – ความพร้อม ทีมชาติโมร็อกโก เคยลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 5 ครั้ง มีผลงานที่ดีที่สุดคือการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในปี 1986 โดยทีมจากทวีปแอฟริกา ที่ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย นับตั้งแต่กาน่า เคยทำได้เมื่อปี 2010 โดยในอดีตที่ผ่านมา มีชาติจากทวีปแอฟริกา เข้ารอบ 8 ทีมได้แล้ว 3 ครั้ง นั่นคือ แคเมอรูน ปี 1990,เซเนกัล ปี 2002, กาน่า ปี 2010 และนั่นหมายความว่า โมร็อกโก เป็นชาติที่ 4 ที่ทำได้ โค้ชของทีมชาติโมร็อกโก วาลิด เรกรากุย กลายเป็นโค้ชเชื้อสายแอฟริกัน คนแรก ที่พาทีมเข้ารอบ 8 ทีมฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอีกด้วย ตอนนี้สภาพร่างกาย ของ นาเยฟ อาเกิร์ด เซนเตอร์ตัวจริงมีอาการบาดเจ็บ , ส่วน อับเดลฮามิด ซาบิรี กองกลางหลุดไปนั่งเป็นสำรองก่อน ฟอร์มการเล่นที่ผ่านมาเรียกว่าไม่ธรรมดา ลงเล่นไป 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม ชนะ 2 เสมอ 1 ยังไม่แพ้ทีมไหนเลย และเสียไปเพียงแค่ 1 ประตูเท่านั้น เก็บได้ถึง 3 คลีนชีท เกมส์รับเหนี่ยวแน่น แข็งแกร่งมากๆ คาดการณ์ว่าจะใช้กำลังหลักขุดเดิม ตามแผน 4-3-3 แดนกลางมี โซฟิยาน อัมราบัต เป็นตัวขับเคลื่อน ตรงกลาง และให้ ฮาคีม ซีเย็ค, ยุสเซฟ เอ็นเนสรี่ และ โซฟิยาน บูฟาล เป็นทีเด็ดแดนหน้า
Portugal – ความพร้อมทีมชาติโปรตุเกส ของกุนซือเฟอร์นันโด ซานโต๊ส , ตอนนี้ ชูเอา คานเซโล ในตำแหน่งแบ็ก คงต้องหลีกทางให้ดิโอโก้ ดาโลต์ลงเป็นตัวจริงไปก่อน , ส่วน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ CR7 มีแนวโน้มที่จะต้องนั่งเป็นสำรองอีกครั้ง ในเมื่อ กอนซาโล รามอส ทำผลงานในเกมเจอสวิตเซอร์แลนด์ดุดันเกินห้ามใจเหลือกัน หลังซัดแฮตทริกใส่ สวิตเซอร์แลนด์ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โปรตุเกส เคยทำผลงานได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลกในปี 1966 และคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรในปี 2016 เป็นทีมที่มีเกมรุกเด็ดขาด ยิงประตูคู่แข่งได้มากที่สุด โดยเฉพาะ กอนซาโล่ รามอส ดาวยิงหน้าใหม่ แต่ว่าเกมรับจะยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง ผลงานในรอบแบ่งกลุ่ม ลงเล่นไป 3 เกม ชนะ 2 แพ้ 1 นัดนี้ไม่มีตัวหลักเจ็บเพิ่มจากแมตช์ถล่ม สวิตเซอร์แลนด์ คาดว่าคู่กองหน้าจะส่ง กอนซาโล่ รามอส กับ เจา เฟลิกซ์ ที่ทำผลงานได้ดีในล่าสุด ลงล่าตาข่ายเหมือนเดิม ทำให้ CR7 อาจจะต้องนั่งสำรองต่อไป
11 Player –
Morocco (4-3-3) : ยัสซีน โบนู – อาชราฟ ฮาคิมี่, ยาวัด เอล ยามิก, โรแม็ง ซาอิส, นุสซาอีร์ มัซราอุย – โซฟิยาน อัมราบัต, อัซเซดีน อูนาอี, เซลิม อามัลลาห์ – ฮาคีม ซีเย็ค, ยุสเซฟ เอ็นเนสรี่, โซฟิยาน บูฟาล
Portugal (4-3-1-2) : ดิโอโก้ คอสต้า – ดิโอโก้ ดาโล่ต์, รูเบน ดิอาส, เปเป้, ราฟาเอล เกร์เรโร่ – โอตาวิโอ้, วิลเลี่ยม คาร์วัลโญ่, รูเบน เนเวส – บรูโน่ แฟร์นานเดส – กอนซาโล่ รามอส, เจา เฟลิกซ์
Missing Player –
Morocco : R.Saiss, N.Aguerd
Portugal : D. Pereira, Nuno Mendes
สรุปทีเด็ด – ถือเป็นคู่บิ๊กแมทต์ของ ฟุตบอลโลก 2022 ที่มีตั๋วเข้ารอบ รองชนะเลิศเป็นเดิมพัน ทีมชาติอังกฤษ มีสถิติยังไม่แพ้ใครในรอบสุดท้ายนี้ เมื่อเปรียบเทียบขุมกำลังนักเตะ คุณภาพแทบไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ทีมชาติฝรั่งเศส ก็มีลีลาการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ผู้เล่นในแนวรุกมีความเร็ว และความสามารถเฉพาะตัวสูง ความพร้อมของตัวผู้เล่นสมบูรณ์เกือบ 100% นักเตะที่อังกฤษต้องคอยระวังไว้ให้ดี อย่าง คิลิยัน เอ็มปับเป้ ที่ตอนนี้กำลังลุ้นตำแหน่งดาวซัลโว ก็กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มร้อนแรง และ โอลิวิเย่ร์ ขิรูด์ ก็ท๊อปฟอร์มไม่ต่างกัน น่าจะสร้างความอันตรายให้กับผู้เล่นในแนวรับของอังกฤษ ที่ตอนนี้ ยังต้องรอเช็คความฟิตของ ดีแคลน ไรซ์ กับ จอห์น สโตนส์ บ้านผลบอลสด 888 สด ซึ่งคาดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าวัดกันตำแหน่งต่อตำแหน่ง อังกฤษก็ยังดูเป็นรองอยู่นิดนึง และยิ่งเมื่อ อังกฤษ เจอทีมระดับเดียวกับเมื่อไหร่มักจะทำผลงานได้น่าผิดหวัง ตามสถิติ ระหว่าง 2 ทีมนี้ ที่เจอกันมา 5 นัดหลังสุด เป็นทีมทัพตราไก่ ทำผลงานได้ดีกว่า โดยชนะไป 3 เสมอ 1 แพ้ 1 รูปเกมส์แมนต์นี้อังกฤษน่าจะมาในรูปแบบการตั้งรับเสียเป็นส่วนใหญ่
England – ทีมชาติอังกฤษ เป็นอดีตแชมป์โลก 1 สมัย โดยคว้าแชมป์ได้ในปี 1966 ผลงานในรอบแบ่งกลุ่ม ลงเล่นไปแล้ว 3 เกม ชนะ 2 เสมอ 1 ส่วนรอบ 16 ทีมสุดท้าย เจอกับทีมชาติกาน่า และก็เป็นทีมชาติอังกฤษเอาชนะไปได้อย่างสบาย ด้วยสกอร์ 3-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมและนัดล่าสุด กุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วยการแซงหน้ากำชัยเหนือ เซเนกัล 3-0 ตีตั๋วเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ โดยมีสถิติยังไม่แพ้ใคร ทีมชาติอังกฤษในครั้งนี้ จัดว่ามีขุมกำลังที่หน้าลุ้นน่าเชียร์มาก อุดมไปด้วยนักเตะชั้นนำจากพรีเมียร์ลีก ดาวรุ่งก็เติบโตขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ได้อย่างลงตัว มีเกมรุกที่หลากหลาย ยิงคู่แข่งไปแล้ว 12 ประตู มากที่สุดในตอนนี้ ส่วนเกมรับก็เสียไปเพียง 2 ประตู มี แฮร์รี แม็คไกวร์ เป็นกำลังสำคัญ กลับมาโชว์ฟอร์มได้สมกับราคาค่าตัวอีกครั้ง ความพร้อมของทีมในเกมนี้ ต้องรอเช็คฟิตผู้เล่นคนสำคัญ 2 ราย ดีแคลน ไรซ์ กับ จอห์น สโตนส์ รวมไปถึง คัลลัม วิลสัน ที่ยังต้องรอเช็คฟิตเช่นกัน แต่ในรายหลังสุดไม่มีผลกระทบอะไรกับทีมมากนัก เพราะไม่ใช่ผู้เล่นแกนหลักอยู่แล้ว ส่วนสถานการณ์ของ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ถูกโจรปล้นบ้าน มีลุ้นกลับมาช่วยทีมในเกมสำคัญกับ ฝรั่งเศส การจัดทัพในระบบ 4-3-3
France – ทีมชาติฝรั่งเศส อดีตแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัย โดยครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นเมื่อปี 2018 นี่เอง ครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางมาลงเล่นในฐานะแชมป์เก่า เป้าหมายสูงสุดก็ต้องเป็นการป้องกันแชมป์ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเลย ผลงานในการลงเล่นรอบแบ่งกลุ่ม ลงเตะไป 3 เกม ชนะ 2 แพ้ 1 ส่วนในรอบ 16 ทีม ทำศึกกับทีมชาติโปแลนด์ และก็ยังทำผลงานได้ดี ครองเกมได้เหนือกว่า ก่อนจะเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีม แม้ว่าก่อนมาจะมีปัญหานักเตะหลักถอนตัวไปหลายคน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเมื่อ ดิดิเยร์ เดสช็องส์ สามารถจัดการผสมผสานระหว่าง นักเตะมากประสบการณ์ชุดแชมป์ครั้งที่แล้ว กับนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดี จนได้ 11 ตัวจริงที่มีความลงตัวสุดๆ โดยเฉพาะในเกมรุก เล่นกันได้รวดเร็วดุดัน มีความหนักแน่นแม่นยำสูง ศูนย์หน้าทั้ง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และโอลิวิเยร์ ชิรูด์ ระเบิดฟอร์มยิงรวมกันไปแล้วทั้งหมด 8 ประตู กำลังไล่ล่าดาวซัลโวอีกหนึ่งตำแหน่ง ความพร้อมในเกมนี้ ไม่มีผู้เล่นบาดเจ็บหรือติดโทษแบน สภาพทีมสมบูรณ์สุดๆ น่าจะใช้รูปเกมส์ระบบเดิม 4-2-3-1 โดยมี โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ออกสตาร์ทยืนเป้าล่าตาข่ายและใช้ อุสมัน เดมเบเล่ อองตวน กรีซมันน์ กับ คิเลียน เอ็มบัปเป้ เป็นสามประสานในแนวกลางรุกคอยซัพพอร์ตให้เหมือนที่ผ่านมา
11 Player –
England อังกฤษ (4-3-3) : จอร์แดน พิคฟอร์ด – ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ – แคลวิน ฟิลลิปส์, ดีแคลน ไรซ์, จู๊ด เบลลิ่งแฮม – บูกาโย่ ซาก้า, แฮร์รี่ เคน, ฟิล โฟเด้น
France (4-2-3-1) : อูโก้ โยริส – ฌูลส์ กุนเด้, ราฟาแอล วาราน, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, เตโอ แอร์กน็องเดซ – ออเรเลียง ชูอาเมนี่, อาเดรียน ราบิโอต์ – อุสมัน เดมเบเล่, อองตวน กรีซมันน์, คิเลียน เอ็มบัปเป้ – โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์
Missing Player –
England : C. Wilson, R. Sterling, B. White
France : Lucus Hernandez
รายการ | ทีมพิฆาต |
---|---|
สเตป 2 (ชุดแรก) | โมร็อคโก/ อังกฤษ |
สเตป 3 (ชุดสอง) | |
สเตป 4 |